เคยอ่านกระทู้ที่เพื่อนสมาชิกในพันทิปถามว่า “ถ้าไม่ไปเชียงคาน แล้วไปไหน”
มีคนมาให้คำตอบที่น่าสนใจมากมาย ผมเองก็เข้ามาบอกว่ามีอยู่จังหวัดนึงที่ผมอยากไป
นั่นคือ จังหวัดน่าน
ด้วยเหตุผลสั้นๆ “อยากไปเที่ยวจังหวัดที่ไม่(ค่อย)มีรีวิวในเว็บบอร์ดท่องเที่ยว”
ผมตัดสินใจขับรถเส้นทาง กทม.-เชียงราย-แม่สาย-เชียงแสน(สามเหลี่ยมทองคำ)-ภูชีฟ้า-น่าน-กทม.
ระยะทาง 2,500 กิโลเมตร ในเวลา 5 วัน รวมบิลค่าน้ำมันเป็นเงิน 4,640.20 บาท
และเป็นจังหวัดน่านนี้เองที่ทำให้ความรู้สึกขับรถเที่ยวของผมมีชีวิตชีวา
มีความสุขตื่นตาตื่นใจ เหมือนขับรถเที่ยวบนท้องฟ้า

เพิ่งรู้ว่าช่วงกำแพงเพชร-ตากมีซ่อมแซมถนน วิ่งลำบากพอสมควร
(แต่ขากลับทางพิษณุโลก ก็มีทำถนนเช่นกันที่อุตรดิตถ์ สรุปว่าพอๆกันครับ)



แต่ก็เออออห่อหมกแสดงความเห็นด้วยตามประสาคู่สนทนาที่ดี

เพียงแต่เหตุผลทางด้านท่องเที่ยวมันเสริมแรงมาก เลยเลือกวิธีเดินทางด้วยการขับรถยนต์
ไปถึงเชียงรายตอนหัวค่ำ และค้นข้อมูลที่พักกันสดๆจากมือถือ
อากู๋ ดีดชื่อที่พักออกมาเป็นที่นี่

(โดยการนั่งสองแถวมาทาง ม.ราชภัฏฯแล้วลงที่ตลาดบ้านดู่)

อีก 1 ชั่วโมงถัดมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน


เพราะเวลาเข้าไปจะเหมือนกับมีเวลา 2 เวลาอยู่ในช่วงเดียวกัน
มีเมือง 2 เมืองอยู่ในสถานที่เดียวกัน มีเมืองใหม่ครอบอยู่บนเมืองเก่า
เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อไป จ.พระนครศรีอยุธยา
พระประธานภายในพระอุโบสถครับ



ห่างจากตัวอำเภเชียงแสนประมาณ 4 กิโลเมตร
การขึ้นชมสามารถทำได้ทั้งด้วยการเดินเท้าและการขับรถยนต์
ผมเลือกวิธีขับรถยนต์ แหะๆ
บนชั้นสูงสุดจะเป็นที่ประดิษย์ฐานของพระเจดีย์

เลยต้องมุ่งหน้าไปที่สามเหลี่ยมทองคำเลย

ได้เสื้อยืดมา 3-4 ตัว




หลักฐานครับ

เที่ยงอีกวันไปปฏิบัติภารกิจลับที่แม่สาย จนถึงเกือบค่ำ
– เลยออกเดินทางไป จ.พะเยาเพื่อหาที่พัก
– พอถึงพะเยา เลยมีความคิดใหม่ว่าไป จ.น่านเลยดีกว่า
– พอออกจากพะเยาได้สักพัก เห็นป้ายชี้ทางภูชี้ฟ้า
– เลยคิดว่าไหนๆได้มาแล้ว แวะภูชี้ฟ้าหน่อยละกัน(ขณะเวลา 4 ทุ่ม)
ข้อดี(ยังอุตส่าห์คิด?)ของการเดินทางแบบไม่วางแผน

โดยทางไปจะอยู่บนเขาสลับที่ราบ และเป็นถนนที่แคบ
บางทีจะมีคอทาง ไหล่ทางชำรุด ก็เลยค่อยขับไป
ตลอดทางมีรถสวนมา 2 คัน สิบล้อคันนึงกับมอ’ไซค์อีกคัน
ที่เห็นสว่างๆข้างบนนั่นคือแรมจันทร์ครับ

ทำไงหละทีนี้ เลยแง้มกระจกงีบเอาแรงซะในรถนี่แหละ
อากาศหนาวมาก โชคดีหน่อยที่หอบหมอนกับผ้าห่มนวมไปด้วย
หลับสลับตื่นอยู่ 2-3 ครั้ง ก็ถึงเวลาตีห้า เริ่มมีรถตู้พานักท่องเที่ยวอื่นๆมาจอด

แล้วก็เริ่มเดินขึ้นไปบนยอดภู
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดภู และมีนักท่องเที่ยวอื่นมารออยู่ก่อนแล้ว

ที่เห็นดวงไฟลูกใหญ่เป็นเม็ดสิวหัวช้างบนท้องฟ้านั่นคือเด็กคุณภาคย์(ดาวพระศุกร์)นะครับ







ที่ตรงนี้ทำให้ได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากที่จะได้ยินซักเท่าไหร่
นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่วัยรุ่นแต่พูดคุยหยอกล้อกันด้วยความคะนองปาก
“เราเห็นพยาบาลตกภูชี้ฟ้าแล้ว เดี๋ยวได้ดูข่าวครูตกภูบ้าง”
แล้วก็มีเสียงหัวเราะกันสนุกสนาน
ครูเหรอ? ครูเนี่ยนะ เป็นครูได้ไงฟระเนี่ย (อันนี้ผมคิดในใจ)
แว่บนั้น ทำให้ผมนึกถึงบทความของพระไพศาล วิสาโลขึ้นมาทันที
“คนเราสามารถเอาเรื่องภัยพิบัติ โศกนาฏกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว ตึกถล่ม สึนามิ
เราสามารถเอามาเล่าข่าวหรือพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานได้ทั้งวัน
แต่เราจะหงุดหงิด หดหู่ อารมณ์เสียทั้งวันถ้าตื่นขึ้นมาพบว่ารถตัวเองมีรอยข่วนแค่เล็บแมว”
ผมให้อภัยคน(ครู)เหล่านั้น แล้วก็เดินลงมาถ่ายภาพชื่นชมธรรมชาติต่อไป


เลยเปิดโหมดประหยัดพลังงานสำหรับการเดินลง




จากนั้นก็ขับรถกลับเข้ามาทาง อ.ภูซาง พะเยา เพื่อเดินทางไปน่านทาง อ.ท่าวังผา
แวะสะสมพลังงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ที่เชียงคำ
ถูกตังค์และอร่อยลิ้นครับ (ธรรมดา 15 พิเศษ 20)

นี่เป็นระหว่างทาง เชียงคำ – ท่าวังผา





พอถึงท่าวังผาจะมีแยกซ้ายไปปัว ขวาไปน่าน
ผมเลือกเลี้ยวซ้ายด้วยเหตุผลเป้าหมายปลายทาง “ชมพูภูคา”
(ทำไม คห.45 มาแบบบังเอิญขนาดนี้)
กำลังจะไปวนอุทยานแห่งชาติดอยภูคาครับ



ที่ทำการวนอุทยานแห่งชาติดอยภูคา


ในขณะที่ที่อื่นๆใช้ได้แค่วันต่อวัน

สามารถจองได้ผ่านทาง http://www.dnp.go.th
ผมเลือกบ้านเกวียนครับ คืนละ 300 บาท


แต่ของห้องน้ำชายเครื่องทำน้ำอุ่นใช้ไม่ได้
ผมต้องแอบเนียนใช้ของห้องหญิงแทน




เลยไปเดินชมอุทยานตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ

แต่ก็เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ




เพราะขนาดเล็กกว่า แต่ก็เป็นพันธุ์ไม้หายากเช่นกัน






กว่าจะรู้ตัวก็เห็นเจ้านี่แล้ว

มาถึงป่าจนได้

สาเหตุที่ไม่รู้ตัวตอนที่โดนกัด เพราะทากมันฉีดยาชาให้เราครับ
พร้อมกับปล่อยสารต้านการแข็งตัวของเม็ดเลือด
นั่นก็เพียงพอสำหรับให้เลือดเราไหลได้ตลอดคืน
เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคราบเลือดเก่าๆบนที่นอน ผ้าปูหรือผ้าห่มของอุทยานแห่งชาติ
ก็อย่าได้แปลกใจครับ


ตื่นเช้ามาซดกาแฟ ข้อดีของที่นี่อีกแล้ว
นักท่องเที่ยวสามารถชงกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆได้ตามอัธยาศัย
โดยจะมีกล่องให้นักท่องเที่ยวหยอดตังค์สำหรับค่าเครื่องดื่ม
ตามอัธยาศัยเช่นกัน








แต่ระยะทางยังอีกไกล เลยจัดเสบียงรองท้องก่อน
เป็นฟาสต์ฟู้ดครับ ชื่อ “แซนด์วิชด่วน”





เจอที่ทานอาหารเช้าแล้ว จัดการก๋วยเตี๋ยวไปสองชาม






ทำไมผมนึกถึง Farmville ก็ไม่รู้
สงสัยอยู่กะเฟซบุ๊คมากไปหน่อย

แต่นึกไม่ออก


ผมเลือกเส้นทาง น่าน-แพร่-อุตรดิตถ์ และมาฝากท้องที่ร้านหมูเด้งที่เด่นชัย
หมูเด้ง อร่อยมากครับ

ผ่านจังหวัดต่างๆ


บอกให้เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่จังหวัดไหนของประเทศไทย
กลับถึงกรุงเทพฯด้วยความอ่อนล้าของร่างกายแต่หัวใจเปี่ยมด้วยพลังและความสุขครับ
ผมเดินทางด้วยการมีเพียงเป้าหมาย แต่ไร้ซึ่งการวางแผน
แม้กระทั่งบางทีพอย้อนกลับไปดู ได้แต่อุทานในใจว่า
“บ้าไปแล้ว”
ผมหวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆที่คิดว่าอยากหาโอกาสไปเที่ยวที่นั่นที่นี่จัง
โอกาสมีกับเราตลอดเวลาครับ
ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่แวะชมนะครับ